Internet Optic LAN คืออะไร? Optic LAN ต่างจากระบบ LAN ทั่วไป (Copper LAN) อย่างไร?

Internet Optic LAN คืออะไร?  Optic LAN ต่างจากระบบ LAN ทั่วไป (Copper LAN) อย่างไร?

  31 October 2024

ปัจจุบันอินเทอร์เน็ตคือสิ่งที่จำเป็นอย่างหนึ่งในการใช้ชีวิต เพราะเป็นสิ่งที่ทำใหชีวิตเรา Connect กับทั่วโลกไม่ว่าจะเป็นใช้ในการ สื่อสาร หาข้อมูล หรือ เล่นเกมส์ เพื่อผ่อนคลาย โดยสิ่งหนึ่งที่ทำให้อินเทอร์เน็ตมีความเร็วและเสถียรคือ สายไฟเบอร์ออฟติก (fiber optic) หรือ เส้นใยแก้วนำแสง คือสายส่งข้อมูลสัญญาณที่สามารถส่งข้อมูลได้ในปริมาณสูงและมีคุณภาพ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้สายไฟเบอร์ออพติก มีการนำมาใช้เพื่อส่งสัญญาณกันอย่างแพร่หลาย แทนที่สายชนิดเก่าๆ

สายไฟเบอร์ออฟติก (Fiber Optic Cable) หรือ สายใยแก้วนําแสง 
สายไฟเบอร์ออฟติก (Fiber Optic Cable) หรือ สายใยแก้วนําแสง คือ สายสัญญาณชนิดหนึ่งที่ผลิตมาจากแก้ว หุ้มด้วยใยพิเศษเพื่อป้องกันการกระแทก โดยการส่งข้อมูลของเส้นใยแก้วนำแสง นั้นจะทำงานจาก การแปลงสัญญาณข้อมูลไฟฟ้าจากอุปกรณ์ต้นทางเป็นสัญญาณแสงจากนั้นส่งผ่านข้อมูลที่เป็นสัญญาณแสงนี้ไปตามสายไฟเบอร์ออฟติก แล้วเมื่อถึง อุปกรณ์ปลายทาง จะทำการแปลงสัญญาณแสงเป็นสัญญาณข้อมูลไฟฟ้าอีกครั้ง ทำให้ระบบไฟเบอร์ออฟติกนี้ ถูกนำมาใช้ เพื่อส่งข้อมูลภายในระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ การสื่อสารและระบบอินเทอร์เน็ตที่ใช้กันแทบทุกบ้านในปัจจุบัน

ชนิดของสายไฟเบอร์ออฟติก (Fiber Optic Cable)


สายไฟเบอร์ออฟติก ที่เราใช้กันทั่วไปนั้นสามารถแบ่งได้เป็น 2 ชนิด โดยทั้ง 2 ชนิดนี้ จะมีส่วนประกอบที่เหมือนกันคือ ท่อแก้วด้านนอก (cladding) และ ส่วนที่เป็นท่อแก้วด้านในมีหน้าที่ลำเลียงสัญญาณ (core) แต่สิ่งที่ต่างกันคือ ขนาดของ core ที่มีผลต่อการเดินทางของสัญญาณแสงเมื่อลำเลียง

เส้นใยแก้วนำแสง แบบ Single mode


เส้นใยแก้วนำแสงแบบ Single-mode (Single-mode fiber) เป็นเทคโนโลยีที่ใช้ในการส่งสัญญาณข้อมูลผ่านเส้นใยแก้วที่มีขนาดแกนเล็ก ซึ่งออกแบบมาเพื่อส่งแสงในโหมดเดียวเท่านั้น ทำให้มีประสิทธิภาพสูงในการส่งข้อมูลในระยะทางไกล:

1. โครงสร้าง


แกน (Core): แกนของเส้นใย Single-mode มีขนาดเล็กมาก (ประมาณ 8-10 ไมครอน) ซึ่งจำกัดการส่งแสงให้อยู่ในโหมดเดียว

เปลือก (Cladding): เปลือกมีดัชนีการหักเหต่ำกว่าแกน เพื่อให้แสงสะท้อนกลับไปในแกนโดยไม่มีการสูญเสียสัญญาณมากนัก

2. หลักการทำงาน


การส่งสัญญาณ: เนื่องจากสามารถส่งแสงในโหมดเดียว การเดินทางของแสงจะมีเส้นทางที่ชัดเจน ทำให้ลดการกระจายของสัญญาณ (modal dispersion) ได้อย่างมากความเร็วในการส่งข้อมูล: Single-mode fiber สามารถรองรับอัตราความเร็วสูงได้มากกว่าหลายพัน Gbps ขึ้นอยู่กับเทคโนโลยีที่ใช้

3. ประเภทของแหล่งกำเนิดแสง


เลเซอร์: มักจะใช้เลเซอร์ชั้นสูง เช่น DFB (Distributed Feedback Laser) หรือ VCSEL สำหรับการส่งสัญญาณ เนื่องจากสามารถให้พลังงานแสงที่เข้มข้นและมีความสอดคล้องสูง

4. การใช้งาน


การสื่อสารระยะไกล: เหมาะสำหรับการส่งข้อมูลในระยะทางไกล เช่น การเชื่อมต่อระหว่างเมืองหรือระหว่างประเทศ
เครือข่ายโทรคมนาคม: ใช้ในการสร้างโครงสร้างพื้นฐานของเครือข่ายโทรศัพท์มือถือและอินเทอร์เน็ตศูนย์ข้อมูล: ใช้ในการเชื่อมต่อระหว่างเซิร์ฟเวอร์และอุปกรณ์ในศูนย์ข้อมูล

5. ข้อดีและข้อเสีย


ข้อดี: สามารถส่งข้อมูลในระยะทางไกล (มากกว่า 40 กม.) โดยไม่สูญเสียสัญญาณ มีประสิทธิภาพสูงในการส่งข้อมูลที่ความเร็วสูง ลดการกระจายของสัญญาณ ทำให้ความเร็วในการส่งข้อมูลคงที่
ข้อเสีย: ต้นทุนในการติดตั้งและอุปกรณ์สูงกว่า Multi-mode fiber
การติดตั้งและการเชื่อมต่อจำเป็นต้องมีความแม่นยำสูง เพื่อหลีกเลี่ยงการสูญเสียสัญญาณ


6. มาตรฐาน


เส้นใย Single-mode มีมาตรฐานที่แตกต่างกัน เช่น:
OS1 (สำหรับการใช้งานในอาคาร)
OS2 (สำหรับการใช้งานในระยะทางไกล)

สรุป


เส้นใยแก้วนำแสงแบบ Single-mode เป็นทางเลือกที่เหมาะสมสำหรับการส่งข้อมูลในระยะทางไกลและความเร็วสูง โดยเฉพาะในเครือข่ายโทรคมนาคมและศูนย์ข้อมูล การเลือกใช้ประเภทนี้ควรพิจารณาความต้องการเฉพาะของระบบเครือข่ายเพื่อให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด

เส้นใยแก้วนำแสง แบบ Multi mode


เส้นใยแก้วนำแสงแบบ Multi-mode (Multi-mode fiber) เป็นเทคโนโลยีการสื่อสารที่ใช้แก้วนำแสงในการส่งสัญญาณข้อมูล โดยสามารถส่งสัญญาณแสงได้หลายโหมดในเวลาเดียวกัน

1. โครงสร้าง


แกน (Core): แกนของเส้นใย Multi-mode มีขนาดใหญ่ (มักจะอยู่ที่ 50 หรือ 62.5 ไมครอน) ซึ่งช่วยให้แสงสามารถเดินทางในหลายทิศทางได้
เปลือก (Cladding): เปลือกมีดัชนีการหักเหต่ำกว่าแกน เพื่อให้แสงสะท้อนกลับไปในแกน ทำให้สามารถส่งข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพ

2. หลักการทำงาน


โหมดการส่งสัญญาณ: เส้นใย Multi-mode สามารถส่งสัญญาณแสงในหลายโหมดพร้อมกัน ซึ่งหมายความว่าแสงสามารถเดินทางในเส้นทางที่แตกต่างกันในเวลาเดียวกัน
การกระจายของโหมด: เนื่องจากแสงในโหมดต่างๆ เดินทางด้วยระยะเวลาที่แตกต่างกัน ทำให้เกิดการกระจายของสัญญาณ (modal dispersion) ซึ่งอาจส่งผลต่อความเร็วในการส่งข้อมูล โดยเฉพาะเมื่อระยะทางยาว

3. ประเภทของแหล่งกำเนิดแสง


LED (Light Emitting Diode): มักใช้ในระบบที่ไม่ต้องการความเร็วสูงมาก
เลเซอร์: เช่น VCSEL (Vertical-Cavity Surface-Emitting Laser) ซึ่งสามารถให้ประสิทธิภาพสูงกว่า LED และรองรับการส่งข้อมูลที่เร็วขึ้น

4. การใช้งาน


เครือข่ายในอาคาร (LAN): ใช้ในการเชื่อมต่ออุปกรณ์ในสำนักงานหรืออาคาร
การสื่อสารข้อมูล: ใช้ในระบบที่ต้องการความเร็วในการส่งข้อมูลสูง เช่น การถ่ายโอนข้อมูลในศูนย์ข้อมูล
ระบบวีดิทัศน์: ใช้ในการส่งสัญญาณวิดีโอคุณภาพสูง


5. ข้อดีและข้อเสีย


ข้อดี:ต้นทุนต่ำกว่าการติดตั้งระบบ Single-mode ง่ายต่อการเชื่อมต่อและติดตั้งเหมาะสำหรับการใช้งานในระยะใกล้
ข้อเสีย:ไม่เหมาะสำหรับการส่งข้อมูลในระยะทางไกล (ระยะทางสูงสุดประมาณ 2,000 เมตร) อาจมีการสูญเสียสัญญาณมากกว่า Single-mode เนื่องจากการกระจายของโหมด

6. มาตรฐาน


เส้นใย Multi-mode มักตามมาตรฐาน เช่น: OM1 (62.5/125 µm) OM2 (50/125 µm) OM3 (50/125 µm, รองรับความเร็วสูงถึง 10 Gbps) OM4 (50/125 µm, รองรับความเร็วสูงถึง 100 Gbps ในระยะทางสั้น)

สรุป


เส้นใยแก้วนำแสงแบบ Multi-mode เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับการส่งข้อมูลในระยะสั้นถึงกลาง โดยเฉพาะในสภาพแวดล้อมที่ต้องการความเร็วสูงและต้นทุนต่ำ การเลือกใช้ประเภทนี้ควรพิจารณาความต้องการเฉพาะของระบบเครือข่ายและระยะทางในการส่งสัญญาณเพื่อให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด

 


Editor : Puthon Muangyoo


 
 

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้